หน้าหลัก       ข่าวประชาสัมพันธ์       ประกาศมหาวิทยาลัยพายัพ เรื่อง แนวปฏิบัติเพื่อเตรียมความพร้อมในการขออนุญาตจัดการเรียนการสอนในรูปแบบปกติ (On site) สำหรับภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2565

ประกาศมหาวิทยาลัยพายัพ เรื่อง แนวปฏิบัติเพื่อเตรียมความพร้อมในการขออนุญาตจัดการเรียนการสอนในรูปแบบปกติ (On site) สำหรับภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2565

ประกาศมหาวิทยาลัยพายัพ
เรื่อง แนวปฏิบัติเพื่อเตรียมความพร้อมในการขออนุญาตจัดการเรียนการสอนในรูปแบบปกติ (On site)
สำหรับภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2565
 
-----------------------------------------

 
     เพื่อให้การเตรียมความพร้อมสำหรับการขออนุญาตจัดการเรียนการสอนในรูปแบบปกติ (On site) ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ต่อหน่วยงานที่มีอำนาจในการพิจารณาอนุญาต สำหรับภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2565ของมหาวิทยาลัยพายัพเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และมีประสิทธิภาพ
 
     อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 43 (1) และ (13) แห่งพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2546 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 จึงออกประกาศฯ ดังต่อไปนี้
 
     ข้อ 1ให้บุคลากรและนักศึกษาทุกคน ทำการประเมินความเสี่ยงของตนเองผ่านระบบไทยเซฟไทย (Thai Save Thai :TST) โดยมีรายละเอียด ดังนี้
  1. ให้ประเมินตนเองผ่านระบบ TSTซึ่งมีการจำแนกเขตพื้นที่การแพร่ระบาด โดยใช้สีเป็นสัญลักษณ์และแบ่งความถี่ในการประเมินความเสี่ยงของตนเอง ดังนี้
เขตพื้นที่การแพร่ระบาด ความถี่ในการประเมินความเสี่ยงของตนเอง
พื้นที่เฝ้าระวัง (สีเขียว) 1 วันต่อสัปดาห์
พื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) 1 วันต่อสัปดาห์
พื้นที่ควบคุม (สีส้ม) 2 วันต่อสัปดาห์
พื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) 3 วันต่อสัปดาห์
พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) ทุกวัน
 
 
 
 
 
 
 
 
 
  1. แนวทางการดำเนินงานตามผลการประเมินตนเองผ่านระบบ TST
            2.1 ผู้ดูแลระบบของมหาวิทยาลัยรายงานข้อมูลให้คณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัย และผู้บริหารหน่วยงาน ทราบผลการประเมินตนเองของบุคลากรและนักศึกษาทุกสัปดาห์ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
            2.2 แนวปฏิบัติในกรณีบุคลากรและนักศึกษามีผลการประเมินความเสี่ยงของตนเองในระดับต่างๆ จำแนกตามระดับผลการประเมิน ดังนี้

                  1. กรณีพบว่ามีผลการประเมินความเสี่ยงของตนเองในระดับเสี่ยงต่ำ ให้ บุคลากรและนักศึกษาปฏิบัติตนตามมาตรการสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเข้มข้น ได้แก่ 6 มาตรการหลัก (DMHT-RC) และ 6 มาตรการเสริม (SSET-CQ)
                  2. กรณีพบว่ามีผลการประเมินความเสี่ยงของตนเองในระดับเสี่ยงสูง ให้ ผู้ดูแลระบบรายงานข้อมูลให้ผู้บริหารหน่วยงานรับทราบเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง หากพบว่ามีความเสี่ยงสูงจริง ให้ผู้บริหารหน่วยงานเฝ้าระวังติดตามอาการ โดยให้ผู้มีความเสี่ยงสูงปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย ป้องกันโรค COVID-19 รองรับสุขภาพดีวิถีใหม่ ด้วยการประเมินความปลอดภัยของสถานศึกษาเพื่อเตรียมพร้อมเปิดทำการตามปกติ โดยผ่านแพลตฟอร์มที่มีชื่อว่า Thai Stop COVID Plus (TSC+)  และปฏิบัติตนตามมาตรการสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเข้มข้น ได้แก่ 6 มาตรการหลัก (DMHT-RC) และ 6 มาตรการเสริม (SSET-CQ) รวมถึงสังเกตอาการตนเองและสุ่มตรวจหาเชื้อเป็นระยะ ตามสถานการณ์
                  3. กรณีพบว่ามีผลการประเมินความเสี่ยงของตนเองในระดับเสี่ยงสูงมาก ให้ ผู้ดูแลระบบรายงานข้อมูลให้ผู้บริหารหน่วยงานรับทราบเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง หากพบว่ามีความเสี่ยงสูงมากจริง ให้ผู้บริหารหน่วยงานเฝ้าระวังติดตามอาการ โดยให้ผู้มีความเสี่ยงสูงมากปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย ป้องกันโรค COVID-19 รองรับสุขภาพดีวิถีใหม่ ด้วยการประเมินความปลอดภัยของสถานศึกษาเพื่อเตรียมพร้อมเปิดทำการตามปกติ โดยผ่านแพลตฟอร์มที่มีชื่อว่า Thai Stop COVID Plus (TSC+) และให้งดการเรียนการสอนแบบ On site จากนั้นให้กักตัวอยู่ที่บ้านหรือที่พักอาศัยเป็นเวลา 14 วัน ตรวจหาเชื้อ และปฏิบัติตนตามมาตรการสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเข้มข้น ได้แก่ 6 มาตรการหลัก (DMHT-RC) และ 6 มาตรการเสริม (SSET-CQ) รวมถึงสังเกตอาการตนเองและสุ่มตรวจหาเชื้อเป็นระยะ ตามสถานการณ์
                  4. กรณีพบว่ามีบุคลากรและ/หรือนักศึกษาติดเชื้อ ให้ผู้ดูแลระบบรายงานข้อมูลให้ผู้บริหารหน่วยงานทราบ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมถึงให้ปฏิบัติตามมาตรการ TSC+อย่างเข้มข้น พร้อมทั้งดำเนินการตามแผนการเผชิญเหตุตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของสถานศึกษา และให้งดการเรียนการสอนแบบ On site ให้กักตัวอยู่ที่บ้านหรือที่พักอาศัยเป็นเวลา 14 วัน ตรวจหาเชื้อ ปฏิบัติตนตามมาตรการสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเข้มข้น ได้แก่ 6 มาตรการหลัก (DMHT-RC) และ 6 มาตรการเสริม (SSET-CQ)
 
     ข้อ 2 มหาวิทยาลัยจะเตรียมดำเนินการตามแนวปฏิบัติด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ในสถานศึกษา ได้แก่
  1. จัดให้ทุกอาคารมีการระบายอากาศที่ดี โดย
    • เปิดประตูหน้าต่างระบายอากาศก่อนและหลังการใช้งาน อย่างน้อย 15 นาที ควรมีหน้าต่างหรือช่องลม อย่างน้อย 2 ด้านของห้อง ให้อากาศภายนอกถ่ายเทเข้าสู่ภายในอาคาร
    • กรณีใช้เครื่องปรับอากาศ ควรระบายอากาศในอาคารก่อนและหลังการใช้งาน อย่างน้อย 2 ชั่วโมง หรือเปิดประตูหน้าต่างระบายอากาศช่วงพักเที่ยงหรือช่วงที่ไม่มีการเรียนการสอน กำหนดเวลาเปิด-ปิดเครื่องปรับอากาศ และทำความสะอาดสม่ำเสมอ
         2. การดูแลรักษาความสะอาด โดย
                   2.1  ทำความสะอาดวัสดุสิ่งของด้วยผงซักฟอกหรือน้ำยาทำความสะอาด และล้างมือด้วยสบู่และน้ำ
                   2.2  ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคบนพื้นผิวทั่วไป อุปกรณ์สัมผัสร่วม เช่น ห้องน้ำ ห้องส้วม ลูกบิดประตู รีโมทคอนโทรล ราวบันได สวิตซ์ไฟ ปุ่มกดลิฟท์ จุดน้ำดื่ม เป็นต้น ด้วยแอลกอฮอล์ 70% และฆ่าเชื้อโรคบนพื้นผิววัสดุแข็ง เช่น กระเบื้อง เซรามิก สแตนเลส ด้วยน้ำยาฟอกขาวหรือโซเดียมไฮโปคลอไรท์ 0.1% อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และอาจเพิ่มความถี่ตามความเหมาะสมโดยเฉพาะเวลาที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก

         3. ควบคุมดูแลคุณภาพน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภค โดย
                   3.1  ตรวจคุณลักษณะทางกายภาพของน้ำ ได้แก่ สี กลิ่น และสิ่งเจือปน เป็นประจำ
                   3.2  ตรวจคุณภาพน้ำเพื่อหาเชื้อแบคทีเรียด้วยชุดตรวจภาคสนาม (ชุดตรวจสอบโคลีฟอร์มแบคทีเรียในนํ้า – อ.11)  ทุก 6 เดือน
                   3.3  ดูแลความสะอาดของจุดบริการน้ำดื่มและภาชนะบรรจุน้ำดื่มทุกวัน และต้องไม่ใช้แก้วน้ำดื่มร่วมกันเด็ดขาด

         4. การจัดการขยะ
                   4.1  จัดให้มีถังขยะแบบมีฝาปิด สำหรับรองรับสิ่งของที่ไม่ใช้แล้ว ประจำห้องเรียน อาคารเรียน หรือบริเวณมหาวิทยาลัยตามความเหมาะสม และมีการคัดแยก รวมทั้งลดปริมาณขยะตามหลัก 3R ได้แก่ Reduce(การลดการใช้) Reuse(นำกลับมาใช้ซ้ำ) และ Recycle(นำกลับมาใช้ใหม่)
                   4.2  กรณีหน้ากากอนามัยที่ใช้แล้ว และขยะจากผู้สัมผัสเสี่ยงสูงหรือผู้ที่กักกันตัว ให้นำใส่ถุงจากนั้นราดด้วยแอลกอฮอล์ 70% หรือน้ำยาฟอกขาว 2 ฝา ลงในถุง แล้วมัดปากถุงให้แน่น ซ้อนทับด้วยถุงใบอื่นอีกหนึ่งชั้น จากนั้นปิดปากถุงให้สนิท และฉีดพ่นบริเวณปากถุงด้วยสารฆ่าเชื้อ ก่อนนำไปทิ้งกับขยะทั่วไป

     ข้อ 3 กรณีการพิจารณาอนุญาตให้ใช้อาคารสถานที่เพื่อการสอบ การฝึกอบรม หรือการทำกิจกรรมผู้รับผิดชอบโครงการหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบต้องจัดทำมาตรการการใช้อาคารสถานที่ ให้สอดคล้องกับมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข จากนั้นจึงนำเสนอต่อมหาวิทยาลัย เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด สำหรับนำไปพิจารณาร่วมกับผู้แทนกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมในพื้นที่ ตามขั้นตอน โดยมาตรการการใช้อาคารสถานที่สามารถจำแนกได้ 3 แนวทาง ดังต่อไปนี้
  1. แนวทางด้านสาธารณสุข ประกอบด้วย
    • กำหนดจุดคัดกรองในช่องทางเข้าออก หากพบว่ามีไข้ ไอ จาม มีน้ำมูกหรือเหนื่อยหอบ หรือมีอุณหภูมิร่างกายเท่ากับหรือมากกว่า 37.5 องศาเซลเซียส ขึ้นไป แจ้งงดให้เข้าร่วมกิจกรรมแนะนำไปพบแพทย์ และอาจมีห้องแยกผู้ที่มีอาการจากพื้นที่
    • ผู้เข้าร่วมกิจกรรม และผู้มาติดต่อ ต้องสวมหน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่เข้าร่วมกิจกรรม
    • จัดให้มีเจลแอลกอฮอล์ หรือจุดล้างมือ สำหรับทำความสะอาดมือไว้บริการบริเวณต่าง ๆ อย่างเพียงพอ เช่น บริเวณหน้าห้องประชุม ทางเข้าออก หน้าลิฟต์ จุดประชาสัมพันธ์ และพื้นที่ที่มีกิจกรรมอื่นๆ เป็นต้น
    • จัดบริการอาหารในลักษณะที่ลดการสัมผัสอุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกัน เช่น จัดอาหารว่างแบบกล่อง (Box set) อาหารกลางวันในรูปแบบอาหารชุดเดี่ยว (Course Menu)
    • กรณีที่มีการจัดให้มีรถรับส่งผู้เข้าร่วมกิจกรรม ให้เว้นระยะห่าง 1 ที่นั่ง ทำความสะอาดรถรับส่งทุกรอบหลังให้บริการ
    • จัดที่นั่งให้มีระยะห่างระหว่างที่นั่งและทางเดิน อย่างน้อย 1.5 เมตร
    • จัดให้มีถังขยะที่มีฝาปิดสำหรับเก็บรวบรวมขยะ เพื่อส่งไปกำจัดอย่างถูกต้อง ตามมาตรการการจัดการขยะที่ดี
    • จัดให้มีการระบายอากาศภายในอาคารที่ดี มีการหมุนเวียนของอากาศอย่างเพียงพอ ทั้งในอาคาร และห้องส้วม และทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศสม่ำเสมอ
    • ให้ทำความสะอาดและฆ่าเชื่อทั้งบริเวณ และเน้นบริเวณที่มักมีการสัมผัสหรือใช้งานร่วมกันบ่อยๆ ด้วยน้ำยาฟอกขาวที่เตรียมไว้ หรือแอลกอฮอล์ 70% หรือไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ 0.5% เช็ดทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ทำความสะอาดห้องส้วมทุก 2ชั่วโมง และอาจเพิ่มความถี่ตามความเหมาะสม โดยเฉพาะเมื่อมีผู้ใช้งานจำนวนมาก
    • มาตรการติดตามข้อมูลของผู้เข้าร่วมกิจกรรม เช่น การใช้แอปพลิเคชัน หรือมาตรการควบคุม การเข้าออกด้วยการบันทึกข้อมูล
    • ควบคุมดูแลคุณภาพน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภค และจัดให้มีจุดบริการน้ำดื่มหนึ่งจุด หรือหนึ่งหัวก๊อก ต่อจำนวนผู้บริโภคไม่เกิน 75 คน
  2. แนวทางสำหรับผู้จัดกิจกรรม ประกอบด้วย
    • ควบคุมจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมไม่ให้แออัด โดยคิดหลักเกณฑ์จำนวนคนต่อขนาดพื้นที่ที่จัดงาน ไม่น้อยกว่า 4 ตารางเมตรต่อคน และพิจารณาเพิ่มพื้นที่ทางเดินให้มีสัดส่วนมากขึ้น
    • จำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรม และกระจายจุดลงทะเบียนให้เพียงพอสำหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรม เพื่อลดความแออัด โดยอาจใช้ระบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือใช้วิธีการสแกน QR Code ในการลงทะเบียนหรือตอบแบบสอบถาม เป็นต้น
    • ประชาสัมพันธ์มาตรการและคำแนะนำในการป้องกันการแพร่ระบาดให้แก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทราบ
  3. แนวทางสำหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรม ประกอบด้วย
    • สังเกตอาการตนเองสม่ำเสมอ หากมีไข้ ไอ จาม มีน้ำมูก หรือเหนื่อยหอบ ให้งดการเข้าร่วมกิจกรรม และพบแพทย์ทันที
    • สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่เข้าร่วมกิจกรรม เว้นระยะห่างระหว่างบุคคลอย่างน้อย 1 – 2 เมตร งดการรวมกลุ่ม และลดการพูดคุยเสียงดัง
  • ล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์บ่อยๆ ทั้งก่อนและหลังการเข้าร่วมกิจกรรม หรือหลังจากสัมผัสจุดสัมผัสร่วม หรือหลังจากสัมผัสสิ่งของ เครื่องใช้ เมื่อกลับถึงบ้านควรเปลี่ยนเครื่องแต่งกายและอาบน้ำทันที
  • ปฏิบัติตามระเบียบที่สถานที่จัดกิจกรรมกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด และปฏิบัติตามมาตรการสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเข้มงวด ได้แก่ 6 มาตรการหลัก (DMHT–RC) และ 6 มาตรการเสริม (SSET-CQ)
 
จึงประกาศให้ทราบและถือปฏิบัติ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
 
           ประกาศ ณ วันที่  25 มกราคม 2565
 
                 อาจารย์อภิชา อินสุวรรณ
                     รักษาการอธิการบดี